วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์จัดอันดับมหาเศรษฐีของประเทศไทย ประจำปี 2558 พบว่า มหาเศรษฐีอันดับ1ของไทยคือนายธนินท์ เจียรวนนท์ จากเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือเครือซีพีมีทรัพย์สินรวม 483,000 ล้านบาท

มหาเศรษฐีอันดับที่2 คือนายเจริญ สิริวัฒนภักดี จากกลุ่มไทยเบฟเวอเรจมีมูลค่าทรัพย์สิน 435,000ล้านบาท

อันดับที่3 เป็นของตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัลมีมูลค่าทรัพย์สิน 412,000 ล้านบาท 

อันดับที่4 นายเฉลิม อยู่วิทยา  กลุ่มกระทิงแดง

อันดับที่5 นายกฤตย์ รัตนรักษ์ กลุ่มธุรกิจสถานีโทรทัศน์สีช่อง7,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา,บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แกรนด์คาแนลแลนด์

อันดับที่6 นายวานิช ไชยวรรณ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในไทยประกันชีวิต และสุรามหาราษฎร 

อันดับที่7 นายสันติ ภิรมย์ภักดี กลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ 

อันดับที่8 นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของธุรกิจสายการบินบางกอกแอร์เวย์และเครือโรงพยาบาลชั้นนำ

อันดับที่9 นายวิชัย ศรีวัฒนประภา กลุ่มคิงพาเวอร์

อันดับที่10 พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีทรัพย์สินมูลค่า 57,000 ล้านบาท




คนทั่วไปเวลาได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการจัดอันดับเศรษฐี ก็มักจะบอกว่า รวยไปก็เท่านั้นเงินทองเป็นของนอกกายหรือเงินทองไม่ใช้หลักประกันว่าชีวิตจะมีความสุข คนที่มีทัศนะคติเช่นนี้มักจะไม่พร้อมรวย จริง ๆ แล้วที่กล่าวอย่างนี้มันก็ไม่ผิดมีส่วนถูกอยู่มากทีเดียว แต่เศรษฐีเขาจะคิดอีกแบบหนึ่งคือคิดว่าเงินทองสำคัญ มีทรัพย์ดีกว่าไม่มีแน่นอน
           ลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่งของเศรษฐีทั้งหลายคือ การกระหายความสำเร็จ  ยกตัวอย่างเช่น สตีฟ จอบส์ แม้เขาจะมีเงินมากมาย ถูกจัดอับดับให้เป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกหลายสมัย แต่เขาก็ยังไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาให้คนทั้งโลกได้เห็น หรือเศรษฐีเมืองไทยอย่างคุณจรัส ชูโต ผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ที่มักบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า
 "There's always a better way in doing things" แปลว่า ย่อมมีวิธีการที่ดีกว่าเสมอ ในการที่คนเราจะทำอะไรก็ตาม หมายความว่า อย่าไปนึกว่าสิ่งที่เราประสบความสำเร็จและทำมาดีแล้วนั่นคือวิธีที่ดีที่สุด ความสำเร็จอย่าอื่นกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า ซึ่งบางทีเงินทองก็อาจจะไม่ใช้สาเหตุหลักในการทำงาน ความกระหายความสำเร็จนี้เองที่ผลักดันให้เขาเกิดความเพียรพยายามทำในสิ่งนั้นให้สำเร็จ มีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เมื่อทำแล้วไม่เป็นไปตามที่คาดคิด
ก็พิจารณาดูว่าเป็นเพราะอะไร แล้วปรับปรุงแก้ไขจนกระทั้งประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งไว้ นี้คือลักษณะร่วมกันของคนที่เป็นเศรษฐี

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หาได้มาแล้วใช้เป็นหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคำว่า “เป็น” ในที่นี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่ใช้เพื่อประโยชน์ในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้นแต่ยังหมายถึงใช้เพื่อประโยชน์ในชาติต่อ ๆ ไปด้วย เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าลำพังเพียงแค่หนึ่งสมองสองมือไม่อาจทำให้คน ๆ หนึ่งประสบความสำเร็จได้ ถ้ามีเพียงแค่นี้ทุกคนก็คงเป็นเศรษฐีกันหมดทั้งโลกไปแล้ว คำว่า “เป็น” ตัวนี้แหละที่จะแยกระหว่างเศรษฐีกับคนธรรมดาให้แตกต่างกัน

ภาพจาก :http://www.springnews.co.th/economics/90065

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น